The Emulsifier (บางเดื่อ)

ชวนมาคุยเฟื่องเรื่องกาแฟในสวนเพาะพันธุ์ทิลแลนด์เซียเกรดส่งออก กับคาเฟ่เรือนกระจกขนาดย่อม ย่านปทุมธานี ที่มีกิมมิกว่าคุณต้องจองมาเท่านั้น ถึงจะนั่งในร้านได้!

📌 แผนที่ไปร้าน The Emulsifier
https://goo.gl/maps/RzwzoK2D4m7WFXtS9

Emulsifier (อิมัลซิฟายเออร์)
ชื่อสารเคมี ที่ทำหน้าที่เป็นตัวประสานให้อนุภาคของของเหลวสองชนิด ที่ไม่ละลายซึ่งกันและกันสามารถรวมกันได้

เป็นที่มาของชื่อร้าน ที่เจ้าของร้านตั้งใจตั้งให้ร้านเป็นตัวกลาง คอยประสานเรื่องราวต่างๆ ระหว่างคนกับธรรมชาติ

คาเฟ่เล็กๆ ที่หลบซ่อนอยู่ในสวนย่าน ต.บางเดื้อ ปทุมธานี ที่ใช้พื้นที่ด้านหน้าของสวนเพาะพันธุ์ทิลแลนด์เซียเปิดเป็นคาเฟ่เรือนกระจกขนาดย่อมรองรับแขกที่มาเยือน แต่อยากคุมคุณภาพให้ได้ดีที่สุด และเป็นส่วนตัวที่สุด เหมือนตอนที่ต้อนรับลูกค้าที่มาชมสวน จึงเกิดเป็นไอเดีย “คาเฟ่ที่ต้องจองเวลาเข้าร้าน และ ณ ช่วงเวลานั้น คุณจะเป็นคนเดียวที่ได้นั่งในร้านนั้นเลย”

สวนแห่งนี้เป็นแหล่งเพาะพันธุ์ทิลแลนด์เซียหลากหลายสายพันธุ์คุณภาพระดับส่งออกต่างประเทศกันเลยทีเดียว — Tillandsia (ทิลแลนด์เซีย) เป็นหนึ่งในสมาชิกวงศ์สับปะรดสี หรือใกล้เคียงที่หลายคนน่าจะคุ้นกันดีก็คือ เคราฤๅษี นั่นเอง

แต่เนื่องด้วยสถานการณ์โควิดทำให้การเดินทางบนท้องฟ้าหยุดตัวลงอย่างไม่มีกำหนด เดิมทีที่เคยมีลูกค้าแวะเวียนมาดูต้นไม้กันอย่างต่อเนื่อง ก็ลดลงอย่างเห็นได้ชัด ทางสวนจึงเกิดไอเดียในการเปิดตัวคาเฟ่อย่างจริงจัง ด้วยไอเดียสุดล้ำ ขัดกับร้านทั่วไปที่ใครๆ ก็อยากรับลูกค้าให้ได้มากที่สุด เท่าที่จะทำได้ เพื่อทำยอด หรือกระตุ้นยอดขาย แต่กับ Emulsifier กลับมีแนวความคิดว่า เราไม่ได้เป็นร้านใหญ่โตอะไร เราอยู่กันแบบสบายๆ จึงเปิดรับลูกค้าจำกัดต่อวัน ต่อช่วงเวลา เพื่อที่จะได้เช็คจำนวนของที่พอดีต่อวัน ไม่มากเกิน ไม่น้อยเกิน เพื่อการดูแลที่ทั่วถึงทุกคนอย่างเต็มที่ และที่สำคัญ เพื่อความเป็นส่วนตัวของแขกที่มาเยี่ยมเยียนที่ร้านด้วย

ตัวร้านจะแบ่งเป็นโซนให้บริการหลักๆ 2 โซน คือ
1. โซนเรือนกระจก Indoor ที่เป็นห้องแอร์ โซนนี้ต้องทำการจองผ่านหน้าเพจ The Emulsifier Cafe โดยสังเกตจากแถบ Appointment ด้านข้างจะเห็นเป็น Box ช่วงเวลาอยู่ เริ่มตั้งแต่ 10.00 น. ไปจนถึง 15.00 น. ที่คนที่จองมาจะได้เวลา 2 ชม./รอบ ภายในโซนนี้ ซึ่งเวลาในการจองจากแถบ Appointment จะเปลี่ยน แปรพันตามเวลาการสั่งจอง และจำนวนคนครับ เช่น ถ้าลูกค้ามาเป็นกลุ่ม 6 คนขึ้นไป ทางร้านจะขยายเวลาจากเดิม 2 ชม./รอบ เป็น 3 ชม./รอบ ให้อัตโนมัติโดยไม่มีค่าใช้จ่ายครับ ฉะนั้นแล้วเพื่อความถูกต้อง และปลอดภัย แนะนำให้ดูช่วงเวลาอย่างถี่ถ้วน และจองเมื่อมั่นใจแล้วเพื่อรักษาสิทธิ์ครับ

2. โซนสวนทิลแลนด์เซีย Outdoor ที่แขกที่ไม่ได้จองมา ก็สามารถมานั่งพักผ่อน หย่อนใจ จิบกาแฟ ฟังเสียงลม เสียงนกได้ครับ แต่พื้นที่รับรองมีจำกัดครับ มีประมาณ 1-2 โต้ะเท่านั้น (ไม่จำกัดเวลานั่ง และสามารถสั่งอาหาร/ขนม/เครื่องดื่มภายในร้านได้ครับ)

กลับมาต่อที่โซนเรือนกระจก Indoor ที่เราต้องจองมาครับ หลังจากที่เราเลือกช่วงเวลาได้แล้ว ก็ให้กดเลือกช่วงเวลานั้น และกรอกเบอร์โทรศัพท์ และหมายเหตุ อย่างเช่น ชื่อ หรืออาหาร/เค้ก/ขนม หรือเครื่องดื่ม ที่อยากกินเป็นพิเศษ ทางร้านจะจัดการเตรียมของ และสแตนบายต้อนรับตอนที่มาถึงครับ หรือถ้ายังไม่รู้ว่าวันนั้นจะจัดหนัก จัดเต็ม หรือเบาๆ ผ่อนคลาย ก็สามารถมาแจ้งได้ที่หน้าเคาเตอร์ตอนเข้ามาที่ร้านครับ

ผมได้จองช่วง 12.00 น. วันอาทิตย์ที่ 7 ก.พ. 64 ที่ผ่านมา ซึ่งผมเชื่อว่าทุกคนรู้ แฟนคลับรู้ ว่าการไปเที่ยวคาเฟ่วันเสาร์-อาทิตย์ แล้วยิ่งเป็นช่วงเวลา Peak-Time อย่างเช่นตอนเที่ยงแบบนี้ด้วย คือรู้เลยว่าต้องได้พบกับมวลชนที่คับคั่งอย่างแน่นอน ถ่ายรูปออกมาก็คือ ไม่มีทางไม่ติดคนในภาพนั้นๆ แต่นี่แหละคับ คือข้อดีของการที่เป็นคาเฟ่ที่ต้องจองเข้ามาก่อนเท่านั้น เพราะร้านนั้นจะเป็นของคุณคนเดียว! (ถ่ายรูปสนุก ลุกนั่งสบาย 555+)

หลังจากที่มาถึงร้าน ผมเดินเข้ามาวางของที่โซฟาด้านใน และหันออกไปมองด้านนอก ความรู้สึกที่ได้เห็นด้วยตาตัวเองครั้งแรก คือสวย สวยมาก สวยแบบมาแล้วหายเหนื่อย 555+ ด้วยความที่ร้านเป็นกระจกเกือบทุกด้าน แล้วยิ่งมาช่วงเวลาบ่ายๆ ที่แดดสาดแสงมาเต็มที่ กระทบกับโต้ะ เก้าอี้ ต้นไม้น้อยใหญ่ภายในร้าน บอกเลยว่าภาพนี้มันชุบชูใจผมมากจริงๆ การตกแต่งภายในโซนนี้เรียบง่าย สบายๆ เหมือนเป็นมุมหนึ่งของบ้าน มีโต้ะกินข้าวตรงกลาง เก้าอี้สำหรับนั่งอ่านหนังสือ และเติมสีสันด้วยต้นไม้น้อยใหญ่ ที่ทุกต้นก็มาจากสวนด้านหลังนี่เองครับ

ตอนเดินเข้าร้านผมได้รับการต้อนรับอย่างอบอุ่น ด้วยชาเย็นน้ำผึ้งมะนาว เสิร์ฟมาในแก้วเซรามิกน่ารักๆ (ไม่คิดค่าบริการ) จิบดับร้อนในช่วงเวลาเที่ยงๆ แบบนี้ บอกเลยว่าสดชื่นมากๆ เลยครับ

แต่จุดสังเกตที่น่าจะสะดุดตาใครหลายๆ คน ตอนเดินเข้าร้านมา นั่นคือขวดสีเงินๆ ที่วางเรียงกันเป็นแถวยาว จำนวนหลายขวด ช่างชวนสงสัยยิ่งนัก หลังจากนั่งจิบชาไปสักพัก ลุกขึ้นมายื่นอ่านว่าทางร้านมีอะไรขายบ้าง เลยได้เห็นว่าเมนูหลักของทางร้านมีบริการครบทั้ง Coffee / Tea / Bakery / Side-Dish / Main Dish เรียกได้ว่าสามารถมาฝากท้องที่ร้านนี้ได้เลย แต่สิ่งที่มีเรื่องราว น่าหยิบเล่าให้ฟังครั้งนี้ ผมอยากเล่าถึง “กาแฟ” เป็นหลักครับ

ผมได้รู้มาจากเจ้าของร้านว่า เดิมทีแล้วเขาเองก็ไม่ได้เป็นคอกาแฟมาก่อน แต่พอถึงช่วงอายุหนึ่ง ก็เหมือนว่าความสนใจมันมาเอง และด้วยความที่เป็นสายเพาะปลูก สายเกษตรเป็นทุนเดิม การกินกาแฟให้ได้อรรถรส และสนุกมากขึ้นนั่นคือ การสรรหาเมล็ดกาแฟครับ

สังเกตได้ว่าขวดที่ตั้งอยู่ด้านหน้าทั้งหมดนี้คือ “เมล็ดกาแฟ” ครับ โดยจะมีทั้งแบบ Single Origin / Profile นำเข้าจากต่างประเทศ / Organic ปลูกภายในประเทศ นับรวมๆ แล้วสิบกว่าชนิดครับ โดยแขกที่เป็นคอกาแฟ สามารถ Custom กาแฟแก้วโปรดของคุณ ได้อย่างที่คุณต้องการเลย เริ่มตั้งแต่การเลือกเมล็ด เรื่องการบด หรือคั่ว หรือประเภทการชง เช่น Drip / Americano / Macchiato / Latte เป็นต้น

— เมล็ดกาแฟ Organic ที่ปลูกภายในประเทศ พี่เจ้าของไปถึงที่แหล่งปลูกมาแล้วทุกที่ (ที่มีเมล็ด) ครับ เพื่อต้องการดูพื้นเพการปลูก และศึกษาธรรมชาติของกาแฟชนิดนั้นอย่างจริงจังครับ

หรือถ้ามือใหม่หัดชิมอย่างผม ก็แค่บอก Teast Note หรือรสสัมผัสที่เราอยากได้ไปก็พอ แล้วพี่เจ้าของร้านจะช่วยอธิบาย และไกด์เราให้ว่าควรเลือกเมล็ดไหนครับ เช่น ผมไม่อยากกินกาแฟเปรี้ยว ขอกินง่าย มีความถั่ว มีความโกโก้หน่อยๆ พี่เค้าเลยเลือกเมล็ดกาแฟอมก๋อย และเรื่องวิธีการชงเป็นแบบ Flat White ที่มีสวนผสมของกาแฟ 1/3 และนม 2/3 ครับ รสชาติถือว่าออกมาตอบโจทย์ที่ต้องการเลย มีความมันอยู่ปลายลิ้น กินง่าย ไม่เปรี้ยวครับ

นั่งจิบกาแฟ สนทนากับพี่เจ้าของร้านสักพัก พี่เขาแนะนำให้เดินชมสวนด้านหลัง ที่เป็นที่เพาะพันธุ์ทิลแลนด์เซีย และต้นไม้อื่นๆ จะเห็นได้ว่าทิลแลนด์เซียเองก็มีหลากหลายแขนง ทั้งแบบปกติ แบบมีสี แบบมีหนาม ซึ่งจากที่พี่เจ้าของร้านเล่าให้ฟัง ส่วนมากลูกค้าที่มาสั่งซื้อต้นไม้ ก็จะเป็นพ่อค้าคนกลางซะส่วนมาก ที่ซื้อต้นพ่อพันธุ์ แม่พันธุ์ ไปตัด ไปชำ เป็นกิ่งๆ เพื่อจำหน่ายให้กับลูกค้าอีกทีครับ นอกจากทิลแลนด์เซียแล้ว ก็ยังมีต้นไม้อื่นๆ ขายเช่นกันนะครับ ส่วนมากจะเป็นไม้ที่เลี้ยงง่าย ไม่ต้องพึ่งน้ำมาก อ้างอิงจากสภาพพื้นที่โดยรอบ ก็จะเน้นไปทางไม้ทะเลทราย อย่างเช่น ต้นกระบองเพชรเป็นต้นครับ

พอเป็นคาเฟ่ที่ต้องจองเข้ามานั้น ทำให้เหมือนเป็นการจำกัดคนเข้าร้านไปในตัว ถึงแม้ว่าด้านนอกจะสามารถนั่งได้ แต่ก็ไม่ค่อยมีคนมาเท่าไหร่ครับ หากไม่ใช่เวลาที่ตัวเองจองไว้ ทำให้เป็นการเดินเล่น จิบกาแฟ พักผ่อนแบบสบายๆ ผ่อนคลาย ฟังเสียงนก เสียงลม พร้อมเดินชมต้นไม้น้อยใหญ่ ถือเป็นวันหยุดที่ฟีลกู๊ดสุดๆ เลยครับ และหวังว่าถ้าคุณแวะมาที่ร้านนี้ในอนาคต คุณจะรู้สึกเหมือนผมนะครับ


อาหารที่สั่งมา/ราคา
🥤 Flat White (เมล็ดกาแฟจาก อมก๋อย จ.เชียงใหม่) 70 บาท
💸 จ่ายผ่าน Mobile Banking ได้ (ไม่มีขั้นต่ำ)

รายละเอียดของร้าน
https://goo.gl/maps/RzwzoK2D4m7WFXtS9
📌 ซ.ธาราทอง ต.บางเดื่อ อ.เมืองปทุมธานี ปทุมธานี
⏰ 10.00 – 17.00 น. (หยุดทุกวันพฤหัสบดี)
🚗 มีที่จอดรถ (จำนวนจำกัด)
📞 085 901 1222
📲 FB The Emulsifier cafe’


ทุกคนอย่าลืมให้ความสำคัญกับการสวมหน้ากากอนามัย และการเว้นระยะห่าง (Social Distancing) เพื่อลดการแพร่ระบาดของ Covid-19 ด้วยนะครับ